วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556


คำบาลี  สันสกฤต
1.  สระสันสกฤต แปลกจากบาลี6 ตัว คำใดประสมด้วยสระ    ฤา  ลึ  ลื  ไอ  เอา 
     เป็นคำในภาษาสันสกฤต   
2. คำใดประสมด้วย      มีในภาษาสันสกฤต  ไม่มีใน
    ภาษา   บาลี  เช่น  อภิเษก  ศีรษะ  อวกาศ  ศัตรู  ศิลปะ ราษฎร  ศอก  ศึก  อังกฤษ  ศึกษาศาสตร์  
3. คำสันสกฤต ใช้    เช่น  กรีฑา  คำสันสกฤต  ไม่นิยมใช้   
 4.  คำในภาษาสันสกฤตมีระบบเสียงควบกล้ำ หรือ พยัญชนะประสม 
      คำควบกล้ำจึงมักเป็นคำภาษา สันสกฤต  เช่น  สตรี  ปรารถนา  สวัสดี  สมัคร  มาตรา
5. ตัว ร ที่ควบกับคำอื่นและใช้เป็นตัวสะกด       เช่น  มรรค  สรรพ อินทร  มารค  
6. คำที่ใช้  ห์  มักเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต  เช่น   สังเคราะห์   โล่ห์  อุตส่าห์ เท่ห์ เล่ห์  เสน่ห์
7.   (ฤทธิ)  ในสันสกฤต จะเป็น อิทธิ  (อิ อุ)
  
สรุป :- ศึกษา    รัก นางมณโฑ ควบ หอ การันต์โชว์ ไอ เอา  ฤ  ฤา คำบาลี 
 1.คำในภาษาบาลีไม่มีสระเหล่านี้   สระบาลี 8 ตัว คือ   อา อิ  อี    อุ  อู  เอ  โอ       
 2. คำที่มาจากภาษาบาลีควรใช้     ทั้งหมด
 3. คำสันสกฤต  ไม่นิยมใช้    ดังนั้นคำที่มี    จึงมักเป็นคำภาษาบาลี  เช่น  กีฬา  กาฬ    กักขฬะ  ปลา
 4. ภาษาบาลีไม่มีพยัญชนะประสมหรือควบกล้ำ
 5.  คำที่ไทยใช้  รร   ไม่ใช่คำที่มีจากภาษาบาลี 
 6.  บาลีใช้  ริ  เช่น  อริยะ -  จริยะ
 ตัวอย่างคำสันสกฤต   
     อังกฤษ  ศึก  ศอก  พฤกษ์  ประพฤติ  ศาสนา  เกษม  ดรรชนี  วิทยุ  ประจิม  ธรรมศาสตร์  เกษตร  ศิลปากร  วัชระ  สัตย์  มฤตยู    อินทร์  อัคนี  ภัสดา  มัธยม  ศึกษาศาสตร์  ศากยะ  กษัตริย์  พิสดาร พฤษภ  ปราณี  สวรรค์  กรรม  ฤทธิ์  ศรี  รัศมี  อภิเษก  เกษียณ  หฤทัย  คฤหาสน์  วิทยา  เสนา  เลขาเสวก  พิษ  มนุษย์  กรีฑา  ครุฑ  อิศวร  วิเศษ  วิศาล  วิเศษ  สวามี  เนตร สตรี  อยุธยา อาศรม อาศัย  ราษฎร ฤษี สัตว์  กระดาษ  ดาษดา  พิศ  เลิศ  บำราศ  ปราศ พฤศจิกายน  อัศจรรย์  โอษฐ์  กฤษณา  พัสดุ  เกษียร 
ตัวอย่างคำบาลี
     ปัญญา      อัคคี          อาญา  สามัญ  วิชา  อิสิ  จริยา  ฐาปนา  สันติ  วัฒนา  บุญ  เวช  สิทธิ  จุฬา สิกขา  อัคคี  นิสิต  สงฆ์      ทุกข์  มัจฉา    รังสี  รัฐ  วิชา  โอฬาร  กิริยา  สมภาร    โมลี  วชิระ  ปฐม  เรขา  เสนา โอสถ  ปิตุ  ปัจฉิม  วิชชา  ญาณ  ฐาน        วุฑฒิ  ถาวร   วิตถาร  ตัณหา  ญาติ  สิกขา  มัชฌิมา  นิพพาน  กีฬา  จุฬา  สามี ปฏิเสธ  สาวก สามัญ  ขณะ  อุตุ  นิจ   

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คำเป็นและคำตาย
  ลักษณะคำเป็นและคำตาย
คำเป็น หมายถึง คำหรือพยางค์ในภาษาไทยที่ออกเสียงได้สะดวก ซึ่งมีลักษณะข้อหนึ่งข้อใดต่อไปนี้
1.            คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น มา นี มี ตา มา ดู ปู ฯลฯ
2.            คำหรือพยางค์ที่มีตัวสะกดในแม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น กลาง คืน ลืม เลย เชียว ฯลฯ
3.            คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระ อำ ใอ ไอ เอา เช่น ทำ ใจ ไป เอา ฯลฯ
คำตาย หมายถึง คำหรือพยางค์ในภาษาไทยที่ออกเสียงไม่สะดวก ซึ่งมีลักษณะข้อหนึ่งข้อใดต่อไปนี้
1.            คำหรือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา (ยกเว้น อำ ใอ ไอ เอา)
·         สุ จิ ปุ ลิ ฯลฯ
2.            คำหรือพยางค์ที่มีตัวสะกดในแม่ กก กด กบ
·         ยก ทัพ ตัด บท ฯลฯ




ชนิดของคำในภาษาไทย

    ชนิดของคำในภาษาไทย
    ชนิดของคำในภาษาไทยมี ๗ ชนิด ดังนี้
๑.     คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ บุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่
๒.   คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้เเทนคำนาม เพื่อไม่ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำๆ 
๓. คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ หรือสภาพ หรือการกระทำในประโยค บางคำมีความหมายสมบูรณ์ แต่บางคำต้องอาศัยคำอื่นมาประกอบ หรือใช้คำประกอบคำอื่นเพื่อให้ความหมายชัดขึ้น
๔.    คำวิเศษณ์ คือ คำที่ช่วยขยายคำอื่น ให้มีเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น
๕.  คำบุพบท คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคำหนึ่ง หรือกลุ่มคำหนึ่งให้สัมพันธ์กับคำอื่นหรือกลุ่มคำอื่น เพื่อบอกสถานที่ เวลา แสดงอาการ หรือเเสดงความเป็นเจ้าของ เช่น คำว่า กับ แก่ แต่ ต่อ จาก เพื่อ โดย จน บน ใต้ กลาง ของ สำหรับ ระหว่าง เฉพาะ
๖.  คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมประโยคกับประโยค ข้อความที่มีคำสันธานเชื่อมอยู่นั้นมักจะเเยกออกได้เป็นประโยคมากกว่าหนึ่งประโยค

๗.   คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อเเสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้พูด ส่วนมากจะไม่มีความหมายตรงตามถ้อยคำ แต่จะมีความหมายทางการเน้นความรู้สึกและอารมณ์ของผู้พูดเป็นสำคัญ


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การจำแนกรูปแบบคำในภาษาไทย


การจำแนกรูปแบบคำในภาษาไทย

     จากโจทย์ที่ว่าคำในภาษาไทยจะตัดแบ่งได้มากที่สุดแค่ไหน และมีเกณฑ์อย่างไร ในอันดับแรกควรจะต้องทำความเข้าใจรูปแบบคำที่มีใช้ในภาษาไทยเสียก่อน ซึ่งการอธิบายในที่นี้ไม่ได้อธิบายตามแบบโครงสร้างภาษาทางไวยากรณ์โดยตรง แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจในรายละเอียดของรูปคำเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการแยกขอบเขตคำเท่านั้น จึงกำหนดการจำแนกรูปแบบคำในภาษาไทยเป็น 2 รูปแบบคือ

รูปแบบคำในภาษาไทยจำแนกตามองค์ประกอบของคำ

       การจำแนกคำตามองค์ประกอบของคำหมายถึง การดูโครงสร้างส่วนประกอบภายในคำ ว่าประกอบด้วยหน่วยย่อยอะไรบ้าง หน่วยย่อยต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของคำ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพิจารณาเลือกแบ่งคำ ได้แก่
1. หน่วยคำอิสระ 
หมายถึงหน่วยคำที่สามารถปรากฏตามลำพังได้ หรือปรากฏร่วมกันกับหน่วยคำอิสระด้วยกัน หรือกับหน่วยคำไม่อิสระได้ เช่น จากตัวอย่างคำว่า "รัง " ดังต่อไปนี้
รัง (อิสระ)
รังนก (อิสระ+อิสระ)
รุงรัง (ไม่อิสระ+อิสระ)
2. หน่วยคำไม่อิสระ 
หมายถึงหน่วยคำที่ไม่สามารถปรากฏตามลำพังได้ อาจจะปรากฏร่วมกับหน่วยคำไม่อิสระด้วยกัน หรือปรากฏร่วมกับหน่วยคำอิสระได้ ตัวอย่างเช่นคำต่อไปนี้ที่มีองค์ประกอบของหน่วยคำไม่อิสระ

ชดช้อย (ไม่อิสระ+ไม่อิสระ)
อ่อนช้อย (อิสระ+ไม่อิสระ)
ทั้งหน่วยคำอิสระ และไม่อิสระ เมื่อประกอบเป็นคำแล้วก็จะมีคำที่ใช้เรียกคำที่ประกอบขึ้นนั้นเป็นคำประเภทต่างๆ ดังนี้

คำผสาน (Complex Words)

    หมายถึง คำที่ประกอบด้วยหน่วยคำตั้งแต่ 2 หน่วยคำขึ้นไป โดยมีส่วนประกอบคำอย่างน้อยหนึ่งหน่วยคำเป็นหน่วยไม่อิสระ เช่น นักเรียน หรือเป็นหน่วยคำไม่อิสระทั้งหมด เช่น โฆษณา อำนวย เป็นต้น คำผสานที่พบเห็นบ่อยคือคำผสานที่ประกอบด้วยหน่วยคำหน้าศัพท์ (prefix) และหน่วยคำท้ายศัพท์ (sufix) ที่ประกอบเข้ากับหน่วยคำอิสระหรือไม่อิสระ เช่น นักกีฬา ชาวนา กรรมกร 

คำซ้อน (Synonymous Compound)
   หมายถึง คำที่ประกอบด้วยหน่วยคำอิสระตั้งแต่สองหน่วยคำขึ้นไป โดยหน่วยคำอิสระที่จะมาประกอบกันนั้นจะต้องมีความหมายเหมือน หรือคล้ายคลึง หรือไปในทำนองเดียวกัน หรือตรงกันข้าม เช่น
จับต้อง, อุปกรณ์เครื่องใช้, สับสนวุ่นวาย, ต่อสู้ช่วงชิง, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, เท็จจริง 

คำซ้ำ (Reduplication)

     คือคำที่เกิดจากการออกเสียงคำเดียวกันซ้ำสองครั้ง หน่วยคำที่เป็นองค์ประกอบของคำซ้ำอาจจะเป็นหน่วยคำอิสระ เช่น เร็ว คำซ้ำคือ เร็วๆ หรือเป็นหน่วยคำไม่อิสระคือไม่เกิดตามลำพัง เช่น ยองๆ คำซ้ำจะพบในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
  • คำซ้ำที่ซ้ำหน่วยคำข้างหน้าโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปหน่วยคำ จะใช้เครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) แทนการซ้ำ เช่น ช้าๆ
  • คำซ้ำประเภทเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ หมายถึงคำที่ซ้ำมีเสียงวรรณยุกต์ไม่เหมือนกับคำที่ต้องการซ้ำ เช่น ดี๊ดี
  • คำซ้ำประเภทเปลี่ยนเสียงสระ หมายถึง คำซ้ำที่มีเสียงสระไม่เหมือนกับคำที่ต้องการซ้ำ เช่น ดีเดอ

คำประสม (Compound Words)

    คำประสมหมายถึงคำที่มีส่วนประกอบของหน่วยคำอิสระตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป คำประสมจะมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เกณฑ์หลักๆ ในการพิจารณาว่าคำไหนเป็นคำประสมมีดังนี้
  • หน่วยคำที่ประกอบเป็นหน่วยคำอิสระทั้งหมด มีตั้งแต่ 2 หน่วยคำขึ้นไป อาจจะเป็นคำหรือกลุ่มคำมาประสมกัน
  • คำประสมอาจจะมีส่วนประกอบหนึ่งเป็นส่วนหลักอีกส่วนเป็นส่วนขยาย เช่น ตลาดนัด มีคำว่า "ตลาด" เป็นส่วนประกอบหลัก "นัด" เป็นส่วนประกอบขยาย
  • ความหมายของคำประสมจะมีลักษณะดังนี้
- ความหมายอยู่ที่ส่วนประกอบหลัก ส่วนส่วนประกอบขยายจะทำหน้าที่เสริมความหมายเท่านั้น เช่น สถานีขนส่ง มี "สถานี" เป็นส่วนประกอบหลัก และ "ขนส่ง" เป็นส่วนประกอบขยาย
- ความหมายของคำประสมไม่ได้อยู่ที่คำประกอบคำใดคำหนึ่ง แต่มีความหมายใหม่ โดยมีเค้าความหมายเดิมของคำที่นำมาประกอบกัน เช่น หนอนหนังสือ หมายถึง คนที่ชอบอ่านหนังสือหรืออ่านหนังสือมาก
จากเกณฑ์ทางความหมายของคำที่นำมาประกอบกันเป็นคำประสม สามารถจำแนกคำประสมออกเป็นลักษณะสำคัญ 2 ชนิด คือ
1. คำประสมแท้ หมายถึง คำประสมที่เกิดจากหน่วยคำอิสระตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไปมารวมกัน แล้วเกิดความหมายใหม่ โดยความหมายใหม่ที่ได้ไม่ใช่ความหมายของหน่วยคำที่มาประกอบหน่วยคำใดหน่วยคำหนึ่ง แต่เป็นความหมายใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของหน่วยคำประกอบแต่ละหน่วยนั้น เช่น คำว่า "ตกลง" ไม่ได้มีความหมายอยู่ที่คำว่า "ตก" หรือ "ลง" แต่หมายถึงการยอมรับในเงื่อนไข เป็นต้น
2. คำประสมไม่แท้ คำประสมที่เกิดจากหน่วยคำอิสระตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไปมารวมกัน แล้วเกิดความหมายใหม่ โดยความหมายใหม่ที่ได้นั้นจะยังคงเค้าความหมายของหน่วยคำประกอบคำใดคำหนึ่ง ซึ่งถือเป็นหน่วยคำหลัก และมีหน่วยคำประกอบหนึ่งเป็นคำขยาย เช่น "สนามกีฬา" หมายถึงบริเวณพื้นที่ที่สามารถใช้เล่นกีฬาได้ เป็นต้น
ในปัจจุบันคำในภาษาไทยมีการสร้างคำมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนทางสังคมและวัตถุ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีการพัฒนามากขึ้น ทำให้คำต่างๆ ที่มีอยู่ในภาษาไทยบางครั้งก็แยกลำบากว่าคำประสมมีขอบเขตแค่ไหน ตัวอย่างเช่นคำต่อไปนี้
เครื่องเอ็กซเรย์ฟันด้วยคอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล, ตู้คาราโอเกะหยอดเหรียญ, ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่







คำตาย – คำเป็น
1. คำตาย คือ - ผสมสละเสียงสั้นในแม่ก กา เช่น มะ จะ ติ ปริ ดุ เกาะ
    - พยัญชนะตัวเดียว เช่น ณ , บ (บ่อที่แปลว่าไม่) ,ก็
    - มีตัวสะกดแม่ กบ กด กก เช่น นาก ตาก พัก เมฆ ภพ ตบ ภาพ ตด
2. คำเป็น คือ - พยัญชนะผสมสละเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น จา ปรี ดู กอ
    - คำมีตัวสะกดแม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น ฟัง ,ตัง,ตน,ยาม,เชยพราว
    - หรือสังเกตให้ได้คำตอบที่รวดเร็วว่ามี อำ(-ม)ไอ(-ย)ใอ(-ย)เอา(-ว) เพราะมีเสียงเหมือนตัวสะกด
     ขอทบทวนเรื่อง แม่ก กา ที่เป็นตัวสะกด นะคะ
แม่ ก กา จะเป็นเสียงสั้นหรือยาวก็ได้ ไม่มีตัวสะกดเช่น จา ,ปรี,เรา แต่ถ้า ก กา + สละเสียงสั้น à จะลงเสียงหนักเหมือนมีเสียง /ว/ สะกด เช่น กระทะ,ระวัง





ลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤต


ลักษณะของภาษาบาลีและสันสกฤต
          ภาษาบาลีและสันสกฤตอยู่ในตระกูลภาษาที่มีวิภัตปัจจัย คือเป็นภาษาที่ที่มีคำเดิมเป็นคำธาตุ เมื่อจะใช้คำใดจะต้องนำธาตุไปประกอบกับปัจจัยและวิภัตติ เพื่อเป็นเครื่องหมายบอกพจน์ ลึงค์ บุรุษ กาล มาลา วาจก โครงสร้างของภาษาประกอบด้วย ระบบเสียง หน่วยคำ และระบบโครงสร้างของประโยค ภาษาบาลีและสันสกฤตมีหน่วยเสียง 2 ประเภท คือ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยัญชนะ ดังนี้
1.   หน่วยเสียงสระ
หน่วยเสียงสระภาษาบาลีมี 8 หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
หน่วยเสียงภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลี 8 หน่วยเสียง และต่างจากภาษาบาลีอีก 6 หน่วยเสียง เป็น 14 หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ
2.   หน่วยเสียงพยัญชนะ
หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลีมี 33 หน่วยเสียง ภาษาสันสกฤตมี 35 หน่วยเสียง เพิ่มหน่วยเสียง ศ ษ ซึ่งหน่วยเสียงพยัญชนะทั้งสิงภาษานี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค
วิธีสังเกตคำบาลี

1.   1.      สังเกตจากพยัญชนะตัวสะกดและตัวตาม
ตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประกอบอยู่ข้างท้ายสระประสมกับสระและพยัญชนะต้น
เช่น    ทุกข์  =  ตัวสะกด
       ตัวตาม คือ ตัวที่ตามหลังตัวสะกด เช่น  สัตย  สัจจ  ทุกข  เป็นต้น  คำในภาษาบาลี
จะต้องมีสะกดและตัวตามเสมอ โดยดูจากพยัญชนะบาลี มี 33 ตัว แบ่งออกเป็นวรรคดังนี้



แถวที่
1
2
3
4
5
วรรค กะ
วรรค จะ
วรรค ฏะ
วรรค ตะ
วรรค ปะ
เศษวรรค
               อัง